Skip to content
รูปลูกบอลยิ้มเต็มไปหมด แต่ลูกนึงเศร้า

ทำไมคนอื่นมีความสุขกันหมด

    เปิดไอจีมีแต่ภาพคนมีความสุข. คนนึงเซลฟีซดสตาร์บัคส์ อีกคนนั่งชิลอยู่ชายทะเล คนนึงแฟนซื้อแหวนมาเซอร์ไพรส์ อีกคนพาลูกเที่ยวดีสนีย์แลนด์ ฯลฯ. ขณะที่เรานอนไถมือถือเรื่อยเปื่อยอยู่คนเดียวในห้องสลัว พยายามลืมปัญหาที่เข้ามาวันนี้ และตลอดทั้งชีวิต.

    เป็นไหมนึกสงสัย ทำไมคนอื่นมีความสุขกันจัง? ดูทุกคนประสบความสำเร็จ มีเงิน มีเพื่อน มีความรัก. แต่ฉันไม่มีอะไรเลย. ทำไมไม่เห็นใครท้อแท้ ผิดหวัง กดดัน. ไม่มีใครสูญเสียสิ่งสำคัญ ทะเลาะกับคนรัก โดนหักหลัง. ทำไมมีแต่ฉันทุกข์อยู่คนเดียว?

    คุณว่าคนอื่นมีความสุขกันหมดหรือเปล่า

    ทำไมเราเห็นคนอื่นมีความสุขกันหมด?

    ในซัพพอร์ตกรุ๊ปกรุ๊ปสำหรับปรึกษาปัญหาจิตเวชกัน เช่น Better togetherต่างๆจะเห็นคำถามนี้เสมอๆ. สมัยก่อนผมก็เป็น ทุกครั้งที่รู้สึกแย่ในหัวมันคอยจะเห็นภาพแบบนั้นทุกที. โดนมันหลอกอยู่หลายรอบนานหลายปี. จนพอได้รักษากับจิตแพทย์
    ได้ทำจิตบำบัด ผมจึงค่อยเห็นว่ามันไม่จริง. จากนั้นก็ปรับมุมมองไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็หมดปัญหานี้ไปเลยถาวร.

    จริงๆมันเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากมุมมองของเราเฉยๆ. ที่เราเห็นเหมือนคนอื่นมีแต่ความสุข เพราะ 3 เหตุผลนี้:-

    1) เราแทบไม่มีโอกาสได้เห็นเวลาคนอื่นทุกข์

    จากมุมมองของเราจะไม่เห็นเวลาคนอื่นมีความทุกข์เลย. เพราะเราจะเห็นแต่ด้านที่เขาเป็นเวลาอยู่ในสังคม ตอนมาเจอเราเท่านั้น. เราไม่เคยเห็นด้านที่เขาเป็นในชีวิตส่วนตัวเลย ยกเว้นเขาเป็นคนในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท.

    ไม่ใช่ว่าเขาเจตนาสร้างภาพให้ดูดี แต่ธรรมชาติเวลากำลังแย่ ทุกคนจะอยากอยู่คนเดียวหรือกับคนสนิท. เราจะไม่เล่าปัญหาส่วนตัวให้คนอื่นฟัง. ในโซเชียลฯจึงแทบไม่มีเรื่องพวกนี้ให้เห็น. เราเลยไม่มีโอกาสได้รับรู้เลยว่าแต่ละคนมีปัญหาอะไร. ไม่เห็นมันเลยดูเหมือนไม่มี.เหมือนสถิติที่ปีนึงมีคนตายเพราะสโตรค (โรคหลอดเลือดสมอง) มากถึง 47 รายต่อแสนคน ขณะที่ฆาตกรรมมีเพียง 6 รายต่อแสนคน โอกาสต่างกัน 8 เท่า เราเห็นข่าวคนถูกฆ่าทุกวัน แต่ไม่เห็นข่าวคนตายเพราะสโตรคเลย มันเลยดูเหมือนไม่มี เราเลยกลัวถูกฆ่ามากกว่าสโตรคทั้งที่มันควรจะกลับกัน

    2) เรารู้สึก ทุกความทุกข์ของเราตรงๆ แต่แค่เห็น ปัญหาคนอื่น

    เราจะรู้สึก ได้เฉพาะความรู้สึกตัวเอง. เราไม่สามารถรู้สึก ความรู้สึกคนอื่น. แม้เวลาเรามองหรือฟังเขา เราจะพอเดาความรู้สึกเขาขณะนั้นได้บ้าง แต่มันก็เป็นแค่ข้อมูล ไม่ใช่ความรู้สึกระดับเดียวกับที่เขากำลังรู้สึก. สุดท้ายตอนที่เขากำลังทุกข์
    เราเลยมองไม่ค่อยเห็น มองบวกว่าเขาคงไม่เป็นไร เลยไม่นับซะงั้น.

    เราไม่เคยรู้สึกความทุกข์ของใครเลย นอกจากของตัวเอง. เราจึงเป็นคนที่ทุกข์มากที่สุดในโลกจากมุมมองนี้.

    So people basically seem way better looking than they really are, and they’re way happier seeming than they really are.

    So if you look at everyone on Instagram you might think “man, there are all these happy, beautiful people”

    — Elon Musk

    3) คนใช้โซเชียลฯเป็นบันทึกเรื่องดีๆของตัวเอง

    เวลามีเรื่องดีๆ ที่เที่ยวสวยๆ อาหารอร่อย นัดเพื่อน หรืองานสำเร็จ หลายคนก็ชอบโพสต์เก็บไว้ในโซเชียลฯ. เหมือนเป็นบันทึกเอาไว้ดูทีหลัง และเป็นการชวนเพื่อนคุยด้วย. พอเราเปิดโซเชียลฯจะได้เห็นความสุขของคนอื่นทุกวัน.

    มันเลยดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะมีความสุข. แต่เปล่าหรอก ถ้าดูไทม์ไลน์เป็นคนๆ จะเห็นว่าแต่ละคนไม่ได้แฮปปี้กันบ่อยขนาดนั้น. เพียงแต่พอเราติดตามคนเยอะๆ ทุกวันก็จะต้องมีใครสักคนมีความสุขบ้างแหละ. แล้วโพสต์แบบนี้จะมีคนเมนต์เยอะ ทำให้ระบบจะต้องหยิบมาให้เราดูทุกที.

    คุณว่าคนอื่นรู้ไหมเวลาคุณกำลังทุกข์

    จริงๆทุกคนต่างก็มีปัญหาชีวิตแบบเดียวกัน

    “โอเค ดูจากข้างนอกไม่รู้ใครสุขทุกข์มากน้อย แต่ยังไงคนอื่นก็ไม่มีใครทุกข์มากมายอย่างฉันหรอก!” เวลารู้สึกแย่ใจเราจะคิดอย่างนี้จริงๆ. ทำไงมันจะเลิกคิดแบบนี้ได้?

    เราก็ต้องมองให้เห็นว่า ทุกคนต่างก็มีความทุกข์เหมือนๆกันนั่นแหละ.

    ปัญหาชีวิตไม่ได้ลดลงเพราะประสบความสำเร็จ

    เราไม่เห็นปัญหาเขา แต่เราพอจะเทียบเคียงได้ เพราะปัญหาชีวิตที่สาหัสๆนั้นทุกคนจะเจอเหมือนกันหมด ไม่มีใครรอด. เช่น พ่อแม่หรือคนรักจากไป, อุบัติเหตุ, โรคทางกายหรือใจ, ของรักพังเสียหรือสูญหาย, โดนคดีความ, ถูกโกงหรือหักหลัง, ถูกใส่ความหรือกลั่นแกล้ง, งานสำคัญล้มเหลว
    ฯลฯ. สิ่งเหล่านี้คนรวย เก่ง มีชื่อเสียง หน้าตาดี ก็มีโอกาสเจอพอๆกับคนอื่น หรือบางอันก็มากกว่าเพราะความสำเร็จนั้นๆ.

    ไม่ขึ้นกับความสำเร็จ ทุกคนจะต้องแก่ ป่วย ตาย สูญเสียสิ่งที่รัก เจออะไรที่ไม่ได้ดังใจ. สิ่งที่เราเป็นหรือเป็นเจ้าของล้วนจะต้องพังทั้งหมด. ความทุกข์หนักๆจะเป็นเรื่องพวกนี้แหละ. ไม่ใช่ว่าคนรวยหรือหน้าตาดีจะต้องมีชีวิตคู่ที่ราบรื่น ไม่มีคนเกลียด ไม่โดนทำร้ายหรือหักหลัง
    ไม่เป็นมะเร็งหรือโรคหัวใจ ไม่ต้องแก่และตายในที่สุด.

    เทียบอย่างนี้จะนึกภาพออกไหมว่า ทุกคนล้วนเจอปัญหาลักษณะเดียวกันนี้ตลอดทั้งชีวิต.

    ทำไงจะมองเห็นชีวิตคนตามความเป็นจริง

    เรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเองมันก็ดี

    แต่จะดีกว่าถ้าได้เรียนรู้จากความผิดพลาดของคนอื่น

    — Warren Buffett

    ถึงตรงนี้เราก็ได้ทบทวนเหตุผลกันแล้วว่า ความจริงคือทุกคนก็มีสุขทุกข์ปะปนกัน. อย่างไรก็ตาม พอเอาเข้าจริงๆ ตอนเรารู้สึกแย่ ใจเราก็อาจจะกลับมาสงสัยแบบนี้อีกอยู่ดี.

    เพราะใจเราไม่ได้เรียนรู้ด้วยข้อมูลหรือเหตุผล มันเรียนรู้จากประสบการณ์. ตราบใดที่เรายังให้มันเห็นเฉพาะความสุขของคนอื่น ใจมันก็ยังคงเชื่อลึกๆอย่างเดิม. ดังนั้นเราจึงควรเปิดโอกาสให้ใจเราได้รับรู้ปัญหาชีวิตของคนอื่นมากขึ้นด้วย.

    มันคือแบบเห็นอกเห็นใจความทุกข์ของคนอื่นนะ ไม่ใช่แบบเผือก อยากรู้อยากเห็นความไม่ดีของคนอื่น. ความรู้สึกมันต่างกันมาก เวลาเห็นใจเราจะรู้สึกเชื่อมโยง อบอุ่น แต่เวลาเผือกคือความรู้สึกเกลียดชัง เห็นโลกยิ่งน่ากลัว โดดเดี่ยวขึ้นไปอีก.

    ทำไมเราควรสนใจปัญหาชีวิตของคนอื่น

    1. ใจเราได้เห็นภาพชีวิตทั้งสองด้าน มันได้เห็นโลกตรงความจริงมากขึ้น.
    2. ตอนที่เห็นแต่ปัญหาตัวเอง ปัญหาเราจะใหญ่ที่สุดในโลก. แต่พอเห็นปัญหาและเห็นใจคนอื่นเยอะๆ ปัญหาเราจะเล็กลงๆ. กลายเป็นเรื่องธรรมดา ใครๆก็เป็นกัน.
    3. ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากคนอื่น ว่าปัญหาเขาเกิดจากอะไร เราจะได้หลีกเลี่ยง. และเขาแก้ปัญหานั้นยังไง ได้ผลแค่ไหน. ความรู้แบบนี้หาค่าไม่ได้เลย.

    แต่มันยากอยู่นะ. ธรรมชาติเราทุกคนจะสนใจแต่ตัวเองตลอดเวลา. เวลาเราสนใจเรื่องคนอื่นก็ไม่ค่อยจะเป็นแบบเห็นใจด้วยซิ. ผมนี่สมัยนั้นเรียกได้ว่าหมกมุ่นกับตัวเองก็ได้ เนื่องจากเข้าใจชีวิตคนอื่นน้อย ก็จะเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล เอาแต่ใจ ซึ่งยิ่งทำให้หงุดหงิดผิดหวังอยู่ตลอดเวลา.

    เครื่องมือดิจิตอลก็ดีนะ ทำให้เรารู้จักคนมากขึ้น. แต่มันก็ทำให้เราแต่ละคนห่างกันมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะคนที่สำคัญกับเราจริงๆ. เราเชื่อมโยงกันผ่านข้อมูลในอากาศมากกว่าจะได้สัมผัสกันโดยตรง โอกาสจะเห็นใจกันและกันก็ลดลง. เราจึงต้องเจตนาเพิ่มโอกาสนี้ให้มากขึ้นอย่างตั้งใจ.

    ทำไงจะเห็นปัญหาและเห็นใจคนอื่นมากขึ้น

    1. ฟังกันให้มากขึ้น สนใจปัญหาของคนใกล้ตัว เงยหน้าจากมือถือมาให้เวลากับคนที่สำคัญกับชีวิตเราจริงๆ. ลดการติดตามข่าวไอดอลและผู้ร้ายในโซเชียลฯ.
    2. ดูหนัง สารคดี หรืออ่านหนังสือ ที่เกี่ยวกับชีวิตคนจริงๆ. มันดีงามตรงที่พาให้เราได้เห็นภาพชีวิตของแต่ละคนทั้งชีวิต ตั้งแต่ต้น. พอดูเยอะๆแล้วใจเราจะสรุปได้เองว่าชีวิตทุกคนลำบากเหมือนกันหมดจริงๆ.
    3. ลดการดูเรื่องแต่งชวนฝันที่จบอย่างเทพนิยาย สมหวังและมีความสุขตลอดไป. ถ้าดูพอประมาณก็คลายเครียดดี. แต่ดูบ่อยๆจะเป็นการสะกดจิตให้ใจเราฝันถึงชีวิตแบบนั้น เหมือนมันมีจริงๆ ชีวิตที่ปราศจากปัญหา. ถ้าหันมาดูเรื่องที่ใกล้เคียงชีวิตจริง จะช่วยปรับให้ความคาดหวังใจเราใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น.

    สรุป: ทำไมคนอื่นมีความสุขกันหมด

    เวลาเรากำลังรู้สึกแย่ มันอาจจะดูเหมือนคนอื่นมีความสุขกันหมด. แต่นั่นเป็นภาพลวงตาที่เกิดจากเราไม่มีโอกาสได้เห็นคนอื่นเวลาทุกข์. เพราะเวลาแย่ทุกคนจะอยากอยู่คนเดียวหรือกับคนสนิท. แต่เวลาดีๆทุกคนก็อยากโพสต์โซเชียลฯ. ประสบการณ์เอียงๆอย่างนี้ทำให้ใจเราเห็นโลกผิดจากความเป็นจริง.

    ทางแก้นอกจากทำความเข้าใจภาพลวงตานี้แล้ว เราควรหันมาสนใจและเห็นใจปัญหาชีวิตของคนอื่น. ตั้งใจรับฟังคนใกล้ตัว และเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตของคนอื่น. เมื่อใจเราเห็นภาพชีวิตใกล้เคียงความจริงแล้ว เวลาที่รู้สึกแย่มันก็จะไม่โดนหลอกด้วยภาพลวงตานั้นอีก.

    เวลาไหนที่คุณสงสัยว่าคนอื่นมีความสุขกันหมด